วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

ปวดส้นเท้าจัง..เวลาตื่นนอน?(2)

การดูแลตนเองเพื่อบำบัดโรคผังพืดส้นเท้าอักเสบ

1. อาหารควรหลีกเลี่ยง
- อาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าวเหนียว ทุเรียน ลำไย 
- อาหารที่มีปริมาณพิวรีนหรือกรดยูริกสูง เช่น เนื้อสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ หอย ปลาอินทรีย์ ปลาซาดีน ปลาขนาดเล็ก ถั่วทุกชนิด เห็ด  กะปิ ยีสต์ ของหมักดอง หน่อไม้ ยอดผักและผักที่มีกลิ่นแรง เช่น ชะอม กระถิน เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

2. อิริยาบถไม่ถูกต้อง
 แก้ไขโดยจัดสมดุลให้ร่างกายอยู่ในลักษณะที่เสียเปรียบเชิงกลน้อยสุดโดยใบหู หัวไหล่ ปมกระดูก อยู่ในแนวเส้นดิ่งเดียวกันในท่านั่ง และอยู่ในแนวเส้นเดียวกับจุดกลางด้านข้างข้อเข่าในท่ายืน 



3. การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเพื่อกล้ามเนื้อผ่อนคลายควรเป็นการออกกำลังกายด้วย การว่ายน้ำหรือโยคะ การออกกำลังกายที่ไม่ควรทำ คือ ออกกำลังกายประเภท Anaerobic Exercise ซึ่งเป็นการออกกำลังแบบกลั้นหายใจช่วย เช่น ยกน้ำหนัก เทนนิส แบดมินตัน กอล์ฟ 
การออกกำลังกายสามารถแบ่งช่วงได้ การออกกำลังกาย วันละ 30 นาที หรือ 10 นาที 3 ครั้ง/วัน ไม่แตกต่างกัน

4. การแช่น้ำอุ่นเพื่อลดการอักเสบ
นำฝ่าเท้าข้างที่เป็นแช่ในน้ำอุ่น ให้น้ำเลยข้อขึ้นไป แช่นานประมาณ 30 นาที ทำทุกวัน
แต่ถ้ามีอาการปวดตึงบริเวณน่องขึ้นไป ร่วมด้วย ให้ระดับน้ำสูงถึงระดับน่องโดยใช้ถังน้ำทรงสูง
การแช่น้ำอุ่นควรทำหลังจากยืดกล้ามเนื้อเสร็จ

5.การยืดกล้ามเนื้อ
การยืดกล้ามเนื้อตามมัดกล้ามเนื้อควรทำอย่างช้าๆ ให้รู้สึกตึง เจ็บเล็กน้อยไม่มากเกินไป ให้อยู่ในภาวะผ่อนคลายและจัดท่าทางให้มั่นคง กล้ามเนื้อมัดหนึ่งควรยึดค้าง 20 – 30 วินาที ทำชุดละ 5 – 10 ครั้ง วันละ 2 ชุดเป็นอย่างต่ำ ไม่จำกัดจำนวนชุด สามารถทำได้ทันทีที่มีอาการปวดเมื่อย 

การยืดกล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวาย






การยืดเอ็นฝ่าเท้า






วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

ปวดส้นเท้าจัง..เวลาตื่นนอน?(1)

สวัสดีครับ บทความแรก ว่าด้วย ปวดๆเมื่อยๆ วันนี้ขอเสนอ อาการปวดส้นเท้า

ลักษณะอาการของโรค 
    ปวดส้นเท้าโดยเฉพาะเวลาตื่นนอนตอนเช้า เวลาเดินจะเจ็บที่ส้นเท้า เมื่อเดินไปสักพักอาการปวดจะทุเลา บางกรณีจะเจ็บปวดตลอดทั้งวัน เวลาเดินจะเดินกะเผลก บางครั้งอาจมีอาการปวดร้าวไปที่ขอบเท้าและเอ็นร้อนหวาย
โรคนี้ก็คือ โรคผังผืดส้นเท้าอักเสบ (Plantar fasciitis)
โดยทางแพทย์แผนไทยเรียกว่า โรคลมปลายปัตคาตส้นเท้า หรือที่รู้จักกันทั่วไปก็คือ รองช้ำ ครับ

สาเหตุ 
   ภาระเกินกำลังเอ็นส้นเท้า 
    มี 2 ปัจจัย คือ น้ำหนักและเวลา ทำให้เอ็นฝ่าเท้ารับน้ำหนักมากเกินไปจนอักเสบ พบได้บ่อยในคนที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือมีน้ำหนักตัวมาก หรือคนที่ใช้งานฝ่าเท้าเป็นเวลานานไม่ว่า ยืน เดิน หรือขับรถ ซึ่งส่วนมากจะทำงานด้วยลักษณะดังกล่าวตลอดทั้งวัน

   สภาพของเลือด 
     ในคนไม่มีการไหลเวียนระบบโลหิตไม่สมบูรณ์ จะเกิดการแข็งตัวของเลือด คั่งและอั้นของเลือดที่บริเวณส้นเท้า ส่งผลให้เกิดพังผืดรัดที่ส้นเท้าและมีหินปูนตกตะกอนและเกาะได้ เช่น ผู้มีภาวะเลือดข้นในทางแพทย์แผนไทย ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ

   อุบัติเหตุ
     การออกกำลังกายที่เพิ่มขึ้น หรือเกิดการกระทบกระเทือนบริเวณเอ็นข้อเท้าจากการวิ่งบนพื้นผิวที่แข็ง
สวมใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม เช่น รองเท้าที่ส้นมีลักษณะแข็งมากเกินไป

   ปัจจัยทางด้านโครงสร้าง
     เช่น กระดูกข้อเท้าเสื่อม เท้าแบนมากเกินไป อุ้งเท้าโก่งมากเกินไป กล้ามเนื้อบริเวณน่องแข็งเกร็งมากเกินไป หรือภาวะส้นเท้ายาวไม่ยาวเท่ากันซึ่งบางกรณีสามารถนวดรักษาแก้ไขได้

การรักษาในแนวทางแพทย์แผนไทย
     1.การนวดรักษาร่วมกับกายภาพบำบัด นวดรักษานั้นใช้ระยะเวลา 1 -3 course ส่วนกายภาพบำบัดใช้ระยะเวลา 2 สัปดาห์ขึ้นไป
     2.การปรับพฤติกรรมทั้งทางด้านการยืน การเดิน ในทางที่ถูกต้อง และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อโรค

     และจากประสบการณ์ของหมอเอง การทานยาต้านการอักเสบ หรือฉีดสเตียรอยด์ มักช่วยได้ไม่มากนักเพราะสาเหตุส่วนใหญ่มากจากพฤติกรรม ถ้าไม่ปรับพฤติกรรมสาเหตุของโรคก็ไม่หายไป โดยเฉพาะคนที่เคยรักษาจนหายแล้ว ในทางแพทย์ไทยจะเรียกบริเวณที่มีปัญหาว่า "รอยโรค" ซึ่งมีโอกาสกลับมาเป็นอีก ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ ปรับพฤิติกรรมและการดูแลตัวเองน่ะครับ

"หมอใดไหนเลยจะเทียบเท่าตัวท่านเอง"

ในตอนหน้า เราจะมาคุยกันเรื่องการดูแลตนเองของโรครองช้ำต่อนะครับ