ลักษณะอาการของโรค
ปวดส้นเท้าโดยเฉพาะเวลาตื่นนอนตอนเช้า เวลาเดินจะเจ็บที่ส้นเท้า เมื่อเดินไปสักพักอาการปวดจะทุเลา บางกรณีจะเจ็บปวดตลอดทั้งวัน เวลาเดินจะเดินกะเผลก บางครั้งอาจมีอาการปวดร้าวไปที่ขอบเท้าและเอ็นร้อนหวาย
โรคนี้ก็คือ โรคผังผืดส้นเท้าอักเสบ (Plantar fasciitis)
โดยทางแพทย์แผนไทยเรียกว่า โรคลมปลายปัตคาตส้นเท้า หรือที่รู้จักกันทั่วไปก็คือ รองช้ำ ครับ
สาเหตุ
ภาระเกินกำลังเอ็นส้นเท้า
มี 2 ปัจจัย คือ น้ำหนักและเวลา ทำให้เอ็นฝ่าเท้ารับน้ำหนักมากเกินไปจนอักเสบ พบได้บ่อยในคนที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือมีน้ำหนักตัวมาก หรือคนที่ใช้งานฝ่าเท้าเป็นเวลานานไม่ว่า ยืน เดิน หรือขับรถ ซึ่งส่วนมากจะทำงานด้วยลักษณะดังกล่าวตลอดทั้งวัน
สภาพของเลือด
ในคนไม่มีการไหลเวียนระบบโลหิตไม่สมบูรณ์ จะเกิดการแข็งตัวของเลือด คั่งและอั้นของเลือดที่บริเวณส้นเท้า ส่งผลให้เกิดพังผืดรัดที่ส้นเท้าและมีหินปูนตกตะกอนและเกาะได้ เช่น ผู้มีภาวะเลือดข้นในทางแพทย์แผนไทย ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ
อุบัติเหตุ
การออกกำลังกายที่เพิ่มขึ้น หรือเกิดการกระทบกระเทือนบริเวณเอ็นข้อเท้าจากการวิ่งบนพื้นผิวที่แข็ง
สวมใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม เช่น รองเท้าที่ส้นมีลักษณะแข็งมากเกินไป
ปัจจัยทางด้านโครงสร้าง
เช่น กระดูกข้อเท้าเสื่อม เท้าแบนมากเกินไป อุ้งเท้าโก่งมากเกินไป กล้ามเนื้อบริเวณน่องแข็งเกร็งมากเกินไป หรือภาวะส้นเท้ายาวไม่ยาวเท่ากันซึ่งบางกรณีสามารถนวดรักษาแก้ไขได้
การรักษาในแนวทางแพทย์แผนไทย
1.การนวดรักษาร่วมกับกายภาพบำบัด นวดรักษานั้นใช้ระยะเวลา 1 -3 course ส่วนกายภาพบำบัดใช้ระยะเวลา 2 สัปดาห์ขึ้นไป
2.การปรับพฤติกรรมทั้งทางด้านการยืน การเดิน ในทางที่ถูกต้อง และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อโรค
และจากประสบการณ์ของหมอเอง การทานยาต้านการอักเสบ หรือฉีดสเตียรอยด์ มักช่วยได้ไม่มากนักเพราะสาเหตุส่วนใหญ่มากจากพฤติกรรม ถ้าไม่ปรับพฤติกรรมสาเหตุของโรคก็ไม่หายไป โดยเฉพาะคนที่เคยรักษาจนหายแล้ว ในทางแพทย์ไทยจะเรียกบริเวณที่มีปัญหาว่า "รอยโรค" ซึ่งมีโอกาสกลับมาเป็นอีก ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ ปรับพฤิติกรรมและการดูแลตัวเองน่ะครับ
"หมอใดไหนเลยจะเทียบเท่าตัวท่านเอง"
ในตอนหน้า เราจะมาคุยกันเรื่องการดูแลตนเองของโรครองช้ำต่อนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น